วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ล่องคงคา ชมพิธีมหาอารตีบูชาเทพเจ้า

วัดไทยพาราณสีพุทธวิปัสสนา อินเดีย
 
ขณะนี้เราก็ยังอยู่ในช่วงของวันที่ 1 ของการเดินทางไปแสวงบุญตามรอยพระพุทธเจ้าที่ประเทศอินเดียและเนปาล ซึ่งได้เล่าไปแล้ว 2 ตอน คือ ภาคเช้า ขั้นตอนการเดินทางสู่อินเดีย และภาคบ่ายไปสักการะธัมเมกขสถูป  สถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดเหล่าปัญจวัคคีย์ และท่านอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมขอบวชในพุทธศาศนาเป็นพระสงฆ์รูปแรกของโลก ตามที่ได้เล่าไปแล้ว คณะของเราออกจากธัมเมกขสถูปใกล้เวลา 17.30 น. จึงเดินทางกลับไปที่วัดไทยพาราณสีพุทธวิปัสสนาเพื่อทานอาหารเย็น และเตรียมตัวไปล่องเรือชมแม่น้ำคงคายามราตรีกัน

ลงเรือนำเที่ยว ล่องแม่น้ำคงคา

ครั้นถึงเวลาประมาณ 18.30 น. รถก็มารับคณะของเราไปที่ท่าเรือซึ่งก็ไม่ไกลจากวัดไทยพาราณสีฯ ที่เราพักมากนัก เพื่อลงเรือนำเที่ยวที่ได้ติดต่อไว้แล้ว  เป็นเรือไม้ลำใหญ่จุได้ 20 คนสบายๆ แต่เมื่อคณะของเรามากันเพียง 10 คนจึงมีที่ว่างเหลือเฟือ เมื่อลงเรือกันเรียบร้อยแล้ว เรือก็เริ่มพาล่องท่องแม่น้ำคงคา ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ใหญ่และยาวเป็นอันดับ 3 ของโลก หล่อเลี้ยงชีวิตให้คนไม่น้อยกว่า 11% ของประชากรบนโลก  ชาวอินเดียโดยเฉพาะผู้นับถือศาสนาฮินดูซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เชื่อว่าคงคาเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถล้างบาปได้ โดยเฉพาะแม่น้ำคงคาที่เมืองพาราณสีนั้นศักดิ์สิทธิ์ที่สุด แม้ปัจจุบันแม่น้ำคงคาไม่ได้ใสและสะอาดเฉกเช่นแต่ก่อนแต่เราก็ยังเห็นคนอินเดียจำนวนมากมาอาบน้ำที่นี้ทั้งตอนเช้าและตอนเย็น ทุกวัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังดื่มน้ำจากแม่น้ำคงคา ด้วยความศรัทธาที่หยั่งลึกในวัฒนธรรมฮินดูมายาวนานกว่า 4,000 ปี


ระหว่างที่นั่งเรือไปเรื่อยๆ  ก็ได้เห็น ท่าน้ำชื่อ มณีกรรณิการ์ฆาต ตั้งแต่อดีตกาลนานมาแล้วหลายพันปีจนถึงปัจจุบัน ชาวฮินดูจำนวนมากก็ยังตั้งใจมาตายและให้เผาศพตนเองเพื่อทิ้งเถ้ากระดูกลงแม่น้ำคงคาที่เมืองพาราณสีแห่งนี้  ด้วยเชื่อว่าแม่น้ำคงคาเป็นทางเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์ การลอยเถ้ากระดูกลงแม่น้ำคงคาจึงถูกเชื่อว่าจะทำให้ผู้ตายได้กลับสู่สวรรค์ หรือแม้แต่คนยากจนไม่มีเงินเผาศพก็เชื่อว่าการโยนศพลงแม่น้ำคงคา ก็จะทำให้ผู้ตายได้คืนสู่สวรรค์เช่นกัน  

ท่าน้ำมณีกรรณิการ์ฆาต ท่าน้ำที่กองไฟไม่เคยมอดดับติดต่อกันมานานกว่า 4,000 ปี

โดยเฉพาะ ท่าน้ำมณีกรรณิการ์ฆาตแห่งนี้ เชื่อว่าเป็นท่าน้ำของพระศิวะ หากนำศพมาเผาและเอากระดูกเถ้าถ่านโปรยลงไปที่ท่าน้ำนี้ ผู้ตายจะได้ไปสวรรค์ทันที กล่าวกันว่าท่าน้ำแห่งนี้กองไฟในการเผาศพคงลุกไหม้ไม่เคยดับตลอดเวลา 24 ชั่วโมงมายาวนานกว่าสี่พันปีแล้ว   จึงได้รับสมญาว่า “นครแห่งแสงไฟ”  ทำให้เมืองพาราณาสีถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “เมืองแห่งความตาย” 

ไม่ว่าจะเป็นใครตั้งแต่ ขอทาน จนถึงพราหมณ์ผู้คงแก่เรียนผู้เป็นที่เคารพบูชาของคนทุกวรรณะ หรือพระราชามหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มหาเศรษฐี คหบดีผู้มีเงินทอง ก็จะมาใช้ริมท่าน้ำแห่งนี้เป็นสถานที่ฌาปนสถานเช่นเดียวกัน ประมาณว่าในแต่ละปีที่ท่าน้ำนี้มีการเผาศพไม่น้อยกว่า 35,000 ศพ หรือเฉลี่ยวันละร่วม 100 ศพเลยทีเดียว

ทัศนียภาพริมฝั่งแม่น้ำคงคา ด้านที่ได้ชื่อว่า ฝั่งสวรรค์

บริเวณใกล้ๆ ท่าน้ำมณีกรรณิการ์ฆาต จะมีโรงแรมรอตาย ที่สร้างไว้เพื่อคนที่รอความตายมาพัก ชาวฮินดูเชื่อว่าความตายเป็นการทิ้งสังขารเก่าที่ผุพังเป็นเรื่องธรรมดาสามารถเกิดขึ้นได้ทุกวันและกับทุกคน การตายจึงเป็นเรื่องธรรมดามากๆ ของคนอินเดีย โดยแม่น้ำคงคาตลอดแนวที่เรานั่งเรือผ่านจะแบ่งฝั่งแม่น้ำเป็น 2 ด้านคือฝั่งสวรรค์ด้านที่มีคนอยู่หนาแน่น กับฝั่งนรกซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเห็นได้ชัดเจน


ฝูงชนที่มาร่วมพิธีมหาอารตี บูชาไฟถวายเทพเจ้า บริเวณฝั่งสวรรค์ที่ ท่าน้ำทศาศวเมธ

น่าเสียดายที่เรามาช่วงกลางคืน ทั้งที่มองเห็นด้วยตาแต่ไม่สามารถถ่ายรูปฝั่งนรกให้ชัดได้ เนื่องด้วยแม่น้ำคงคากว้างมากและริมฝั่งนรกก็อยู่ไกลจากเรือที่วิ่ง  สันนิษฐานว่าฝั่งนรกของแม่น้ำคงคา  น่าจะรับทิศทางของกระแสน้ำที่พัดพาเศษเถ้าและกระดูกที่เผาไหม้ไม่หมด รวมถึงซากศพที่ถูกทิ้งลงในแม่น้ำคงคาไปเกยหาดฝั่งนี้ จึงไม่มีผู้คนหรือแม้แต่สิ่งปลูกสร้างใดๆ มาอยู่ด้านฝั่งนรกเลย เสียดายที่เรามาชมได้เฉพาะกลางคืน เนื่องจากช่วงเช้าเราต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางต่อ เลยไม่ได้ดูคนอินเดียอาบน้ำในแม่น้ำคงคากับชมบรรยากาศของฝั่งนรกชัดๆ

ท่าน้ำทศาศวเมธ กับพิธีมหาอารตี

เมื่อนั่งเรือต่อมาอีกเล็กน้อย เราก็จะมาถึง  ท่าน้ำทศาศวเมธ ที่นี่ทุกค่ำคืนจะมีพิธีบูชาไฟอย่างยิ่งใหญ่ เรียกว่า พิธีมหาอารตี มีการบูชาเทพเจ้าทั้งหลาย ด้วยข้าวตอกดอกไม้และการบูชาด้วยไฟ  ก็มีผู้คนมากมายมหาศาลมาร่วมพิธีทุกคืน ดูแล้วน่าตื่นตาตื่นใจ แม้ฟังไม่รู้เรื่องก็สามารถรับรู้ถึงพลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของคนอินเดียได้ไม่ยาก คณะของเราก็นั่งชมพิธีอยู่ซักครู่ใหญ่ๆ ก็เดินทางกลับ

เรือนำเที่ยว จอดให้คณะได้ลอยโคมไฟบูชาแม่คงคากลางแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิื

เมื่อเรือนำคณะออกมาจากท่าน้ำทศาศวเมธจนพ้นเขตที่มีคนหนาแน่น เรือก็ได้จอดลอยลำให้คณะได้จุดโคมไฟอธิษฐานบูชาแม่พระคงคากลางแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่แปลกที่คนไทยเรารู้จักแม่คงคาและได้ทำพิธีลอยกระทงเพื่อขอขมาแม่พระคงคาในการทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไปในน้ำ ก็คงมีต้นกำเนิดมาจากอินเดียที่นี้นี่เอง เพราะฟังมาได้ว่าคนอินเดียบูชาพระแม่คงคามานานกว่า 4,000 ปีแล้ว ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีแผ่นดินที่ชื่อว่าไทยของคนไทยเลย

คณะที่ร่วมเดินทางในทริปนี้

ขากลับเรือก็พาย้อนกลับมาทางเส้นทางเดิม ผ่านท่าน้ำมณีกรรณิการ์ฆาต สู่ท่าเรือที่ลงเรือตอนแรก ขึ้นมาถึงท่าเรือเจอเด็กอินเดียหลายสิบคนกำลังจับกลุ่มทำกิจกรรมไม่แน่ใจว่ากำลังออกกำลังกายหรือเล่นโยคะ ดูแล้วก็น่าสนใจดี จากนั้นรถก็นำกลับสู่วัดไทยพาราณสีพุทธวิปัสสนา ถึงวัดประมาณ 4 ทุ่มเศษ  หลวงพ่อด็อกเตอร์จรัญท่านก็มีเมตตาเกรงว่าคณะจะหิว  ก็เลยให้แม่ครัวทำข้าวต้มมื้อดึกเลี้ยงอีกหนึ่งมื้อ วันนี้เหนื่อยกันทั้งวัน กินรองท้องมื้อดึกอิ่มๆ จะได้หลับสบาย พรุ่งนี้ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืดประมาณตีสี่เพื่อเตรียมเดินทางไปตามโปรแกรมวันที่ 2 จึงต้องรีบพักผ่อนเอาแรงไว้ก่อน

อาหารมื้อดึกก่อนนอนที่วัดไทยพาราณสีพุทธวิปัสสนา

ห้องพักของวัดไทยพารณสีพุทธวิปัสสนา ที่ใช้รับรองคณะเดินทางผู้มาแสวงบุญชาวไทยมีจำนวนหลายสิบห้อง สามารถรับคณะใหญ่ๆ ได้สบาย  ในห้องพักก็กว้างขวางสะดวกสบายมากทีเดียว มีเครื่องปรับอากาศด้วย แต่อากาศที่พาราณสีช่วงที่เรามาเป็นช่วงปลายฤดูหนาวอากาศก็เย็น  ถึงไม่เปิดแอร์ก็นอนหลับได้สบาย ห้องพักส่วนใหญ่จัดให้พักห้องละ 4 ท่าน แต่คณะของเรามากันน้อย เลยพักห้องละ 2 คน  

มีข้อแนะนำสำหรับคนที่จะไปเที่ยวอินเดียคือ ระบบไฟฟ้าของอินเดียใช้ไฟฟ้า 220 โวลท์เหมือนบ้านเราจึงสามารถใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าของเราที่พกติดตัวมาได้  แต่ปลั๊กเสียบของอินเดียแตกต่างกับเรา รูเสียบและขนาดของปลั๊กไม่เท่ากัน ดังนั้นเราต้องเตรียมหัวแปลงไฟที่ใช้กับปลั๊กไฟของอินเดียมาด้วยจะได้ใช้ชาร์จโทรศัพท์ กล้องถ่ายรูปหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่นำติดตัวไปได้ ผมมีหัวแปลงไฟที่ใช้ได้กับปลั๊กเสียบทั่วโลกมาด้วย ซื้อมาราคาน่าจะประมาณ 100 กว่าบาทจำราคาไม่ได้แล้วเพราะซื้อมานาน  เลยไม่เดือดร้อนเรื่องการใช้ไฟฟ้าของอินเดียแต่อย่างใด ส่วนคณะที่ร่วมเดินทางที่มาด้วยก็ได้จัดหาหัวแปลงปลั๊กไฟให้คู่บัดดี้ห้องพักละ 1 อัน จะได้ใช้ชารจ์โทรศัพท์ได้ระหว่างทัวร์อินเดีย

ห้องพักของวัดไทยพาราณสีพุทธวิปัสสนา

หมายเหตุ คณะทัวร์ผู้แสวงบุญ สามารถล่องเรือชมแม่น้ำคงคาได้ มีเรือให้บริการพาไปชมการเผาศพในระยะห่างจะไม่เห็นภาพที่น่ากลัวแต่อย่างใด  เราจะได้เห็นถึงความศรัทธาของคนอินเดียในอีกรูปแบบของวัฒนธรรมความเชื่อที่แตกต่างออกไป รวมถึงได้ชมพิธีบูชาเทพที่ยิ่งใหญ่ ก็นับว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจยิ่งอย่างหนึ่งที่ทริปแสวงบุญ หรือไปประเทศอินเดียไม่ควรพลาดชม

แล้วมาติดตามการเดินทางวันถัดไปกันต่อนะครับ ที่ www.rkatour.com

สำหรับคืนนี้ นอนหลับฝันดีด้วยกันทุกท่านครับผม

บทความต่อไป เดินทางสู่พุทธคยา

ติดตามอ่านบทความทั้งหมดใน ประสบการณ์เดินทางไปแสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน 8 วัน ในประเทศอินเดียและเนปาล ได้ที่ www.rkatour.com

สนใจเดินทางไปทัวร์แสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน สักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของพระพุทธศาสนา สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน รวมถึงสถานที่สำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งพุทธกาล  สอบถามรายละเอียดการเดินทางได้ที่ โทร. 084-625-9929 

เขียนโดย ศักดิ์เพ็ชร  เรืองแพ

ไม่มีความคิดเห็น: