วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2564

จับกุ้งทะเลในอ่าวท่าชนะ

จับกุ้งทะเลในอ่าวท่าชนะ
การจับกุ้งทะเลในอ่าวท่าชนะ เป็นกิจกรรมสนุกๆ ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวหมู่เกาะอ่างทองกับร้อยเกาะแอดเวนเจอร์และพักค้างคืนที่หาดสำเร็จ ที่อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี หลังจากทานซีฟู้ดมื้อเย็นกันเรียบร้อยแล้ว ในวันที่คลื่นลมสงบและพระจันทร์เป็นใจ คือเป็นคืนเดือนมืด ก็สามารถลงไปจับกุ้งทะเลสนุกๆ กันได้ไม่ยาก 

จับกุ้งทะเลที่หาดสำเร็จ ท่าชนะ สุราษฎร์ธานี

ปกติการจับกุ้งทะเลของชาวประมง ถ้าเป็นเวลากลางวันก็จะใช้วิธีเข็นอวน โดยการให้อย่างน้อย 2 คนถืออวนคนละด้านแล้วขึงอวนจนสุดความยาวจากนั้นก็เริ่มเข็นหรือลากอวนจากบริเวณน้ำลึกประมาณหน้าอกเข้าหาฝั่งก็จะสามารถจับได้ทั้งกุ้งและปลาที่หากินใกล้ฝั่งเช่นปลากระบอก ปลาทรายรวมทั้งกุ้งทะเลติดอวนมาด้วย  

การจับกุ้งทะเลของชาวบ้าน
 ถ้าเป็นการจับกุ้งทะเลช่วงกลางคืน ชาวบ้านจะเลือกวันที่น้ำทะเลนิ่ง คลื่นลมสงบและพระจันทร์ไม่สว่างมากเกินไป เดินใช้ไฟฉายส่องหากุ้งบริเวณหาดที่น้ำสูงประมาณครึ่งเข่า ถ้าเจอกุ้งก็จะเห็นแสงทับทิมคู่เล็กๆสีแดงจากตาของกุ้งสะท้อนแสงไฟฉายให้เห็น เราก็สามารถใช้ฉมวกแทงหรือใช้สุ่มจับกุ้งขึ้นมาได้ง่ายๆเลย
กุ้งทะเลที่จับได้ในอ่าวท่าชนะ
กุ้งทะเลที่จับได้ มีทั้งกุ้งขาวหรือกุ้งแชบ๊วย กุ้งกุลาดำและกุ้งลายเสือซึ่งก็คือกุ้งกุลาดำไซส์ใหญ่ที่โตเต็มวัยมีขนาดตัวโตน่ากินทีเดียว กุ้งทะเลที่จับได้สดๆ เอามาทำอาหารอะไรก็อร่อย โดยเฉพาะถ้าเอามาปิ้งย่างกลิ่นของกุ้งจะหอมเนื้อกุ้งจะหวานน่ากินมาก ถ้าได้น้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บๆ ด้วยแล้วละก็ยิ่งอร่อยกินเพลินกันเลยทีเดียว 
กุ้งทะเลที่จับได้ในอ่าวท่าชนะ
สาเหตุที่จับกุ้งทะเลได้ง่ายๆ ในอ่าวท่าชนะ เพราะเป็นอ่าวที่ไม่มีชุมชนขนาดใหญ่อยู่ใกล้ทะเล ไม่มีน้ำเสียจากโรงงานและชุมชุนไหลลงไปในทะเล บิเวณชายฝั่งได้รับอิทธิพลจากตะกอนปากแม่น้ำจากคลองท่ากระจายและคลองท่าม่วงหรือคลองวังทำให้มีอินทรีย์สารอาหารของกุ้งหอยปูปลามากมาย จึงทำให้ชายฝั่งบริเวณนี้มีสัตว์ทะเลที่อาศัยใกล้ฝั่งอุดมสมบูรณ์สามารถจับมาทำอาหารได้ไม่ยากโดยไม่ต้องใช้เรือออกไปในทะเลก็ได้กินแล้ว
กุ้งลายเสือที่จับได้ในอ่าวท่าชนะ
สนใจจัดทริปเที่ยวทุกรูปแบบ จัดนำเที่ยวทั้งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี หรือจะให้พาเที่ยวทั่วไทย รวมถึงพาไปเที่ยวต่างประเทศ  นำเที่ยวทั้งกรุ๊ปใหญ่และแบบไพรเวททัวร์แบบกรุ๊ปเล็กส่วนตัว  ให้บริการจัดนำเที่ยวแบบครบวงจร นำเที่ยวโดยคนพื้นที่ชำนาญเส้นทาง พาเที่ยวแบบวีไอพี กิจกรรมสนุก กินอาหารอร่อย เลือกที่นอนสบาย บริการแบบมืออาชีพด้วยมาตรฐานบริษัททัวร์ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 084-625-9929
 

เขียนโดย ศักดิ์เพ็ชร  เรืองแพ

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2564

พาไปตลุยตลาดน้ำหัวหินสามพันนาม

ตลาดน้ำหัวหินสามพันนาม
ตลาดน้ำหัวหินสามพันนาม อยู่ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แต่เป็นคนละตลาดกับตลาดน้ำหัวหิน ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันเท่าไรนัก ไหนๆ ไปเที่ยวหัวหินแล้วก็แวะช็อปเพลินๆ ที่ตลาดน้ำทั้ง 2 แห่งซะเลย

ตลาดน้ำหัวหินสามพันนาม
ตลาดน้ำหัวหินสามพันนาม  เป็นตลาดน้ำขนาดใหญ่ในพื้นที่ 100 กว่าไร่   สินค้ามีทั้งเสื้อผ้า ของกิน ของฝากและของที่ระลึกที่มีให้เลือกซื้อเลือกหามากมาย รับรองว่าต้องได้ควักเงินซื้อกลับบ้านแน่ๆ มีการจัดโซนนิ่งของร้านค้าในตลาดน้ำอย่างสวยงามให้เลือกชมสินค้าได้สบายๆ ไม่ร้อน รูปแบบทางสถาปัตยกรรมประมาณตลาดย้อนยุคโดยใช้โทนสีแดงเหมือนสถานีรถไฟหัวหินอันเป็นสัญลักษณ์ของหัวหิน
ตลาดน้ำหัวหินสามพันนาม
ตลาดน้ำหัวหินสามพันนาม อยู่ติดกับอยู่ติดลำห้วยชื่อห้วยสามพันนาม จึงเป็นที่มาของชื่อตลาดน้ำ ตลาดน้ำหัวหินสามพันนามเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีร้านค้าร่วม 200 ร้านมีเรือขายสินค้าอีกร่วม 50 ลำ ภายในบริเวณตลาดสามารถจอดรถได้มากถึง 1,000 คัน  ภายในบริเวณตลาดน้ำมีมุมถ่ายรูปสวยๆ เยอะมาก 
รางรถรางที่บริการนักท่องเที่ยวนั่งชมตลาด
การเข้าชมตลาดน้ำหัวหินสามพันนาม สำหรับคนไทยเข้าชมฟรี เปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-18.00 น. หากเป็นวันหยุดจะมีคนคึกคักทั้งพ่อค้าแม่ค้าและนักท่องเที่ยวมากเป็นพิเศษ แต่ถ้าอยากได้ความสนุกเพิ่มขึ้นในการเข้าชมตลาดน้ำ สามารถใช้บริการรถรางหรือเรือพาเข้าไปเที่ยวในตลาดน้ำได้ด้วย แต่ถ้าอยากชมตลาดให้ทั่วถึงจะเดินเข้าไปตั้งแต่ทางเข้าจนทะลุทางออกเลยก็ได้ เพราะตลาดน้ำหัวหินสามพันนาม วางรูปแบบตลาดเกือบเป็นวงกลมมีร้านค้าวางเรียงกันตลอดเส้นทาง

ภายในตลาดน้ำหัวหินสามพันนาม มีร้านอาหารแปลกๆ หากินยากและน่าสนใจเยอะมาก โดยเฉพาะอาหารย้อนยุคแบบโบราณก็มีให้เลือกกินหลายอย่าง ใครชอบกินอาหารแปลกๆ อร่อยๆ ไปเดินในตลาดน้ำหัวหินสามพันนามไม่ผิดหวังแน่นอน

สนใจจัดทริปเที่ยวทุกรูปแบบ ทั้งจัดสัมมนาดูงาน นำเที่ยวทั้งกรุ๊ปใหญ่และแบบไพรเวทเที่ยวแบบกรุ๊ปเล็กส่วนตัว  ให้บริการนำเที่ยวแบบครบวงจร นำเที่ยวโดยคนพื้นที่ชำนาญเส้นทาง พาเที่ยวแบบวีไอพี กิจกรรมสนุก กินอาหารอร่อย เลือกที่นอนสบาย บริการแบบมืออาชีพด้วยมาตรฐานบริษัททัวร์ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 084-625-9929

เขียนโดย ศักดิ์เพ็ชร  เรืองแพ

ด่านสิงขร ตลาดชายแดนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ด่านสิงขร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ด่านสิงขร เป็นตลาดการค้าชายแดนที่สำคัญอยู่ที่ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นด่านชายแดนเชื่อมต่อกับหมู่บ้านมูด่อง เมืองมะริด ของประเทศเมียนมาร์หรือคนไทยรู้จักในนามพม่า นอกจากจะเป็นจุดข้ามแดนสำคัญระหว่างไทยกับเมียนมาร์แล้วที่ด่านสิงขรยังเป็นตลาดที่ทำให้เศรษฐกิจในท้องถิ่นคึกคักมาก 
ด่านสิงขร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
 ด่านสิงขร ในอดีตเป็นเส้นทางคมนาคมผ่านแผ่นดินคาบสมุทรจากชายฝั่งทะเลด้านอันดามันสู่อ่าวไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยาพม่าได้ใช้เส้นทางด่านสิงขรเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินทัพเข้าสู่ไทย ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด่านสิงขรก็เป็นหนึ่งในเส้นทางยุทธศาสตร์ที่กองทัพญี่ปุ่นสร้างเพื่อลำเลียงกำลังพลไปเมืองมะริด ปัจจุบันด่านสิงขรมีฐานะเป็นตลาดการค้าชายแดนที่เป็นเพียงจุดผ่อนปรนการค้า ยังไม่ได้เปิดเป็นด่านหรือจุดผ่านแดนถาวร 

สินค้าพวกอัญมณีและหินธรรมชาติที่มีขายมากมาย ในตลาดด่านสิงขร
ตลาดการค้าชายแดนที่ด่านสิงขรเปิดขายทุกวัน แต่เฉพาะในวันเสาร์ตลาดด่านสิงขรจะมีความคึกคักมากเป็นพิเศษ เนื่อจากจะมีการผ่อนผันให้ชาวพม่าข้ามฝั่งนำสินค้าทางการเกษตรต่างๆ เข้ามาวางขายได้ โดยภายในตลาดจะแบ่งเป็นโซนต่างๆ ได้แก่
สินค้าประเภทไม้เฟอร์นิเจอร์ ที่ด่านสิงขร
 โซนเฟอร์นิเจอร์ไม้ มีสินค้าให้เลือกเยอะมาก  ทำจากไม้เนื้อดี  มีบริการส่งให้ถึงบ้านได้ทั่วไทยด้วย

โซนเป็นเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ มีทั้งของใช้ในชีวิตประจำวัน เครื่องครัวต่างๆ เสื้อผ้า  ร้านขายเครื่องประดับต่างๆ ในตลาดด่านสิงขร 

โซนขายต้นไม้ มีต้นไม้หลายชนิดมาก โดยเฉพาะกล้วยไม้ป่าที่ชาวบ้านจากฝั่งพม่านำมาวางขาย ซึ่งคนชอบต้นไม้จะถูกใจโซนนี้เป็นพิเศษ ถือว่าเป็นสินค้าดึงดูดหลักที่นักท่องเที่ยวชาวไทยให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ
เฉพาะเช้าวันเสาร์ที่จะมีชาวพม่านำสินค้าและผลผลิตทางเกษตรเข้ามาวางจำหน่ายในราคาค่อนข้างถูกมาก ทำให้วันเสาร์ของด่านสิงขรมีความคึกคักมากเพราะจะมีทั้งพ่อค้าแม่ค้า คนพื้นที่ในท้องถิ่น และนักท่องเที่ยวไปเลือกหาซื้อสินค้าที่ต้องการมากเป็นพิเศษ
ตลาดการค้าชายแดน ด่านสิงขร ประจวบคีรีขันธ์
การเดินทางไปตลาดด่านสิงขรให้มุ่งหน้าไปที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ถ้าไปจากกรุงเทพฯ เมื่อขับรถเลย ทางแยกเข้าสู่ตัวเมืองประจวบคีรีขันธ์เล็กน้อย จะมีมีป้ายบอกทางให้เลี้ยวขวาไปด่านสิงขร ขับรถเข้าไปประมาณ 12 กิโลเมตร ก็ถึงตลาดด่านสิงขรแล้ว โดยตลาดด่านสิงขรเปิดขายทุกวันแต่จะคึกคักมากที่สุดเฉพาะในวันเสาร์ช่วงเช้าเพราะมีพ่อค้าแม่ค้าจากพม่านำสินค้ามาวางขายด้วย  
พาเที่ยวด่านสิงขร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
สนใจจัดทริปเที่ยวทุกรูปแบบ ทั้งจัดสัมมนาดูงาน นำเที่ยวทั้งกรุ๊ปใหญ่และแบบไพรเวทเที่ยวแบบกรุ๊ปเล็กส่วนตัว  ให้บริการนำเที่ยวแบบครบวงจร นำเที่ยวโดยคนพื้นที่ชำนาญเส้นทาง พาเที่ยวแบบวีไอพี กิจกรรมสนุก กินอาหารอร่อย เลือกที่นอนสบาย บริการแบบมืออาชีพด้วยมาตรฐานบริษัททัวร์ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 084-625-9929

เขียนโดย ศักดิ์เพ็ชร  เรืองแพ

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

วัดสวนโมกขพลาราม สุราษฎร์ธานี

วัดสวนโมกขพลาราม
 วัดสวนโมกขพลาราม เดิมทีวัดสวนโมกขลารามอยู่ที่ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา ซึ่งเป็นวัดร้างมาก่อนชื่อว่าวัดตระพังจิก เมื่อท่านพุทธทาสมาจำพรรษาและได้ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม เห็นว่าบริเวณวัดมีต้นโมกและต้นพลาเยอะ  โดยต้นโมกมีชื่อพ้องกับคำว่าโมกะ แปลว่าหลุดพ้น  ต้นพลาพ้องกับคำว่า พละ แปลว่ากำลัง เมื่อผนวกกับคำว่าอารามที่แปลว่าที่ร่มรื่นหรือที่รื่นรมย์ ท่านจึงตั้งชื่อวัดตระพังจิกใหม่ว่า สวนโมกขพลาราม ซึ่งแปลได้ว่า สวนป่าอันเป็นกำลังหลุดพ้น 

ท่านพุทธทาสภิกขุ
เมื่อท่านพุทธทาสจำพรรษาอยู่ที่วัดสวนโมกขพลารามเดิมที่ตำบลพุมเรียงเป็นระยะเวลาหนึ่ง เห็นว่าพื้นที่วัดค่อนข้างจำกัด จึงได้ย้ายไปสร้างวัดสวนโมกขพลารามใหม่ในที่ปัจจุบันคือตำบลเลม็ด อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยใช้ชื่อว่าวัดสวนโมกขพลารามเหมือนวัดแรก โดยไม่ได้เลิกการใช้ชื่อวัดสวนโมกขพลารามที่วัดพระพังจิก ดังนั้นวัดสวนโมกขพลารามที่ตั้งโดยท่านพุทธทาสภิกขุจึงมี 2 แห่งที่ตำบลพุมเรียง 1 แห่ง และตำบลเลม็ดอีก 1 แห่ง และทั้ง 2 วัดก็ยังคงเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมตามแนวทางของท่านพุทธาสภิกขุมาจนถึงทุกวันนี้ แต่คนทั่วๆ ไปจะรู้จักและให้ความสนใจเฉพาะวัดสวนโมกขพลารามที่ตำบลเลม็ดที่ชาวท้องถิ่นนิยมเรียกว่าวัดธารน้ำไหล จนวัดสวนโมกขพลารามเดิมที่ตำบลพุมเรียงมีคนรู้จักน้อยมาก ยกเว้นคนในพื้นที่และคนเก่าแก่ดั้งเดิมเท่านั้น
.
วัดสวนโมกขพลาราม
ดังนั้นในที่นี้จึงขอพูดถึงวัดสวนโมกขพลารามที่ตำบลเลม็ด อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี หรือที่นิยมเรียกอีกชื่อว่าวัดธารน้ำไหล  วัดนี้ตั้งขึ้นมาโดยท่านพุทธทาสภิกขุ เมื่อ พ.ศ.2502 เพื่อเป็นสถานที่แสวงหาความสงบและศึกษาธรรม เน้นเผยแพร่หลักธรรมคำสอนที่เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา จึงทำให้มีทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศสนใจมาเรียนรู้หลักธรรมของพระพุทธเจ้ากันมาก 
สิ่งที่น่าสนใจในวัดสวนโมกขพลาราม
1 กุฎิอาจริยบูชาท่านพุทธทาส หรือเรียกว่ากุฎิท่านอาจารย์  ภายในกุฏิมีรูปหล่อพุทธทาสภิกขุให้ได้เคารพระลึกถึงคุณงามความดีที่ท่านมีต่อพุทธศาสนา 
ลานหินโค้ง วัดสวนโมกขพลาราม
 2 ลานหินโค้ง เป็นที่ประกอบศาสนกิจของพระสงฆ์และผู้มาปฏิบัติธรรม  ลานหินโค้งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของสวนโมกข์ ที่เอื้อต่อการศึกษาปฏิบัติธรรมมากที่สุด สะท้อนแนวคิดของท่านพุทธทาสภิกขุว่า มาสวนโมกข์ต้องได้พูดคุยกับต้นไม้ ก้อนหิน และได้เรียนรู้เรื่องธรรมะที่ปรุงแต่งและไม่ปรุงแต่ง ตั้งแต่แรกสร้างวัดสวนโมกขพลารามจนถึงปัจจุบันลานหินโค้งใช้ในกิจกรรมมากมายทางศาสนาเช่น ตักบาตรสาธิต ทำวัตรสวดมนต์ แสดงธรรมแก่ฐาติโยม นั่งวิปัสสนา  เป็นต้น
โรงมหรสพทางวิญญาณ
3 โรงมหรสพทางวิญญาณ เป็นอาคารสองชั้น ภายนอกอาคารมีภาพแกะสลักชุดพุทธประวัติโดยรอบตัวอาคาร บริเวณด้านข้างอาคารมีก้อนหินวางเป็นระยะ ส่วนภายในโรงมหรสพทางวิญญาณบนผนังและเสาของอาคารมีภาพปริศนาธรรมมากมาย รวมถึงการแสดงภาพของท่านพุทธทาสเมื่อครั้งเดินทางไปประเทศอินเดีย เมื่อ ปี พ.ศ. 2498 
สระนาฬิเกร์
4 สระนาฬิเกร์และธารน้ำไหล ภายในวัดมีเกาะเล็กๆ กลางสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สระกว้างประมาณ 100 เมตร ยาวประมาณ 200 เมตร ตรงกลางสระมีเกาะเล็กๆ มีเนื้อที่ประมาณ 5 ตารางเมตร มีต้นมะพร้าวเล็กๆ ปลูกอยู่หนึ่งต้น ท่านพุทธทาสตั้งใจให้สระนาฬิเกร์นี้ เป็นสื่อในการสอนธรรมะอีกอย่างหนึ่งว่า “นิพพานนั้นอยู่ท่ามกลางวัฏฏะสงสาร”
ภาพปริศนาธรรมในโรงมหรสพทางวิญญาณ
5 อาคารรูปเรือสำเภา มี 2 ลำ อยู่ใกล้ๆ กับโรงมหรสพทางวิญญาณ ลำแรกชื่อว่า ธรรมวารีนาวาอิสรกุลนฤมิต เป็นอาคารอเนกประสงค์ “อุปมาเหมือนเป็นเรือข้ามฟากหรือข้ามวัฏสงสารให้พ้นจากความทุกข์ ข้ามฟากจากความมีทุกข์ไปสู่ความไม่มีทุกข์ จากความโง่ไปสู่ความฉลาดอิงกับพุทธปรัชญา นาวาแห่งธรรมนำสรรพสัตว์ข้ามห้วงแห่งทุกข์” ลำที่ 2 ชื่อว่า เรือใหญ่หรือธรรมวารีนาวา  “ชั้นล่างเป็นที่เก็บน้ำฝน ชั้นบนเป็นศาลาอเนกประสงค์สำหรับประชุม ฟังเทศน์เวลาฝนตก ที่หัวเรือเป็นที่ตั้งของห้องสมุดโมกขบรรลัย”
ภาพแสดงกิจกรรม เมื่อครั้งท่านพุทธทาสเดินทางไปประเทศอินเดีย
6 โบสถ์บนเขาพุทธทอง ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่กลางแจ้งบนเขาพุทธทอง เป็นที่ตั้งอุโบสถแบบสวนโมกข์ เป็นโบสถ์พื้นดินตามธรรมชาติอย่างที่เคยมีในครั้งพุทธกาล ธรรมชาติที่มีอยู่โดยรอบบริเวณ เปรียบเสมือนอาคารของโบสถ์ มีเสาปักไว้โดยรอบกำหนดเขต เพื่อใช้เป็นที่ประกอบสังฆกรรม
ลานหินโค้ง วัดสวนโมกขพลาราม
การเดินทางไปสวนโมกขพลาราม  ซึ่งถือเป็นสถานปฏิบัติธรรมชั้นแนวหน้าของเมืองไทยเป็นแหล่งบ่มเพาะเรียนรู้พระพุทธศาสนาที่มีผู้ศรัทธาจำนวนมาก ภายในอาณาบริเวณของสวนโมกขพลารามมีทั้งความสงบและร่มรื่นเหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรม กล่อมเกลาจิตใจและศึกษาพระพุทธศาสนา มีโรงมหรสพทางวิญญาณ ซึ่งประกอบด้วยภาพศิลป์ บทกวี คติธรรมคำสอนในพุทธศาสนานิกายต่างๆ มากมาย รวมถึงได้เรียนรู้พุทธประวัติจากภาพจำลองและจากภาพหินสลักเกี่ยวกับพุทธประวัติในอินเดีย  
นศ.แผนกท่องเที่ยว นำทัศนศึกษาสวนโมกขพลาราม
ดังนั้นการไปให้ถึงสวนโมกขพลารามเพื่อให้ได้ประโยชน์ยิ่งขึ้นในระยะเวลาอันสั้น สามารถใช้บริการมัคคุเทศก์น้อย โดยให้นักศึกษาแผนกท่องเที่ยวของวิทยาลัยการอาชีพไชยาซึ่งเป็นลูกหลานชาวไชยาที่ศึกษาข้อมูลของสวนโมกขพลารามเป็นอย่างดี เป็นผู้นำชมและอธิบายเรื่องราวต่างๆ ของสิ่งที่น่ารู้น่าศึกษาของสวนโมกขพลาราม รวมทั้งปริศนาธรรมมากมายที่แฝงอยู่ในความเป็นสวนโมกขพลารามแหล่งศึกษาธรรมที่ท่านพุทธทาสภิกขุปราชญ์ของโลกตั้งใจทิ้งธรรมะอันเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาไว้เป็นมรดกสมบัติคนทั้งโลก เพื่อจะได้ประโยชน์จากการไปเยือนวัดสวนโมกขพลารามมากยิ่งขึ้น โดยสามารถติดต่อได้ที่ โทร. 084-625-9-29
ภาพปริศนาธรรม ในโรงมหรสพทางวิญญาญ
ติดต่อวัดสวนโมกขพลาราม เปิดให้คนทั่วไปเข้าไปศึกษาธรรมะฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ตั้งแต่เวลา 06.00 -18.00 น. สามารถติดต่อทางวัดสวนโมกขพลารามได้ที่โทร.  077-431-661

สนใจจัดทริปเที่ยวทุกรูปแบบ ทั้งจัดสัมมนาดูงาน นำเที่ยวทั้งกรุ๊ปใหญ่และแบบไพรเวทเที่ยวแบบกรุ๊ปเล็กส่วนตัว  ให้บริการนำเที่ยวแบบครบวงจร นำเที่ยวโดยคนพื้นที่ชำนาญเส้นทาง พาเที่ยวแบบวีไอพี กิจกรรมสนุก กินอาหารอร่อย เลือกที่นอนสบาย บริการแบบมืออาชีพด้วยมาตรฐานบริษัททัวร์ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 084-625-9929

เขียนโดย ศักดิ์เพ็ชร  เรืองแพ

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

เพลินไปกับอดีตที่สัมพันธ์กับปัจจุบัน ณ ถนนคนเดินเชียงคาน

ถนนคนเดินเชียงคาน เลย
เชียงคาน เป็นอำเภอเล็กๆ ของจังหวัดเลยที่มีเสน่ห์และน่าหลงไหลมาก เป็นเป้าหมายการท่องเที่ยวอีกหนึ่งพื้นที่ที่เชื่อว่าหลายคนต้องปักธงรอไว้เลย เชียงคานสมญาเมืองที่กาลเวลาหยุดนิ่ง เป็นที่รู้จักกันในเรื่องการอนุรักษ์บ้านเก่ายุคร้อยกว่าปีที่แล้วบริเวณริมโขงแล้วพัฒนาจนเป็นไฮไลท์ที่น่าสนใจหนึ่งในกิจกรรมการท่องเที่ยวหลายๆ อย่างของเชียงคาน

ถนนคนเดินเชียงคาน
ถนนคนเดินเชียงคาน  เป็นตลาดที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครจากการที่ชุมชนอนุรักษ์บ้านไม้อายุกว่าร้อยปีสองข้างทางที่ยาวตลอดถนนคนเดิน ทำให้บรรยากาศเหมือนเดินอยู่ในชนบทโบราณ  
สินค้าแนวย้อนยุคมีให้เลือกซื้อเยอะมากที่ถนนคนเดินเชียงคาน
กิจกรรมที่น่าสนใจที่ถนนคนเดินเชียงคาน สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งวัน เริ่มตั้งแต่ช่วงเช้ากับกิจกรรมตักบาตรข้าวเหนียวริมโขงอันเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีมาหลายชั่วอายุคน กลางวันเดินดูวิถีชิวิตและการทำอาชีพของคนท้องถิ่น พอตกช่วงเย็นถึงค่ำจะมีพ่อค้าแม่ค้ามาขายสินค้าเยอะมากมีทั้งของกินของใช้และงานศิลปะมากมาย  โดยเฉพาะสินค้าแนวย้อนยุคเก๋ๆ เหมาะที่จะเอาไปแต่งบ้านหรือเป็นของฝากที่ระลึกจากเชียงคาน
ร้านค้าตลอดแนวถนนคนเดินของเชียงคาน
ถนนคนเดินเชียงคาน เดิมมีชื่อว่าถนนชายโขง อยู่ติดแม่น้ำโขงในตัวอำเภอเชียงคาน  เป็นตลาดนัดกลางคืนระยะทางยาวร่วม 1.5 กิโลเมตร เริ่มตั้งแต่หน้าวัดศรีคุณเมืองถึงวัดท่าคก มีลักษณะพิเศษของถนนคนเดินที่เชียงคานคือ ร้านค้าสองฟากถนนตลอดแนวของถนนคนเดินจะยังคงเป็นไม้เก่าหลายหลังมีอายุเกิน 100 ปี  
ร้านค้าในถนนคนเดินเชียงคาน จังหวัดเลย
บ้านเก่าโบราณในบริเวณถนนคนเดินของอำเภอเชียงคาน ส่วนใหญ่ได้มีการนำมาประยุกต์เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวมีทั้งนำมาทำเป็น  เกสต์เฮาส์  , ร้านอาหาร เ, ร้านกาแฟ ร้านค้า และร้านบริการประเภทต่างๆ หลากหลายรูปแบบ มีพ่อค้าแม่ค้านำสินค้ามาจำหน่ายทั้งในบ้านและ 2 ข้างถนนดูคึกคักทีเดียว

ร้านค้าในถนนคนเดินเชียงคาน จังหวัดเลย
สินค้าที่น่าสนใจในตลาดถนนคนเดินริมแม่น้ำโขงของอำเภอเชียงคาน ได้แก่  เสื้อผ้า , สินค้าแฮนด์เมดท้องถิ่น , อาหารพื้นเมืองหลากหลายชนิด และยังมีการแสดงและกิจกรรมของน้องๆ เยาวชนเพื่อหาทุนการศึกษา  
ถนนคนเดินเชียงคาน
เวลาที่เหมาะในการไปเดินถนนคนเดินเชียงคาน สามารถไปเที่ยวได้ตลอดวัน เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ ก็มีร้านค้าสำหรับให้คนมาซื้อของใส่บาตร พอช่วงสายถึงเย็นนักท่องเที่ยวสามารถเช่ารถจักรยานปั่นเที่ยวชมเมืองและเลียบเลาะไปตามถนนริมน้ำโขงชมวิวและวิถีชิวิตทั้งฝั่งไทยและฝั่งลาว  พอตกเย็นค่อยไปเดินชมตลาดถนนคนเดินและชมวิวพระอาทิตย์ตกสวยๆ กัน
ถนนคนเดินเชียงคาน
ตลาดถนนคนเดิน ที่เป็นไฮไลท์แนะนำจริงๆ จะเริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 16.00 น. โดยจะเปิดขายกันทุกวันจนถึงเวลาประมาณ 20.00 น. ยกเว้นวันศุกร์และเสาร์ที่ตลาดจะเลิกดึกหน่อยจะเปิดยาวจนถึงสี่ทุ่ม โดยเฉพาะในวันหยุดช่วงฤดูหนาวจะมีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวเชียงคานเยอะมากเป็นพิเศษ ถนนคนเดินเชียงคานจึงพลอยคึกคักมากไปด้วย
เที่ยวเชียงคาน
พาเที่ยวเชียงคาน
สนใจจัดทริปเที่ยวทุกรูปแบบ ทั้งจัดสัมมนาดูงาน นำเที่ยวทั้งกรุ๊ปใหญ่และแบบไพรเวทเที่ยวแบบกรุ๊ปเล็กส่วนตัว  ให้บริการนำเที่ยวแบบครบวงจร นำเที่ยวโดยคนพื้นที่ชำนาญเส้นทาง พาเที่ยวแบบวีไอพี กิจกรรมสนุก กินอาหารอร่อย เลือกที่นอนสบาย บริการแบบมืออาชีพด้วยมาตรฐานบริษัททัวร์ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 084-625-9929

เขียนโดย ศักดิ์เพ็ชร  เรืองแพ

รู้จักเมืองคนดีผ่านพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา  ตั้งอยู่ที่ตำบลเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี อยู่ในเขตพื้นที่วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร จัดเป็นพิพิธภัณฑสถานประเภทประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดี มีหน้าที่ในการเก็บรักษาโบราณวัตถุและศิลปวัตถุอันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินและบริการเผยแพร่ให้ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี อยู่ในสังกัดของสำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม  

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี

 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา  ตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2478 โดยพระครูโสภณเจตสิการาม อดีตเจ้าคณะอำเภอไชยาได้รวบรวมศิลปะโบราณวัตถุมาเก็บรักษาไว้ในพระอุโบสถ พระวิหารหลวง และพระระเบียง ของวัดพระบรมธาตุไชยา ต่อมากรมศิลปากรได้พิจารณารับเป็นสาขาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมชื่อว่า “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี”  

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา 

ในปีพ.ศ. 2493 ท่านพระครูอินทปัญญาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุไชยา เป็นผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา ได้เริ่มสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ด้วยเงินจากการจำหน่ายหนังสือเรื่อง "แนวสังเขปโบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอน"  เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนแบบไทยประยุกต์หลังแรกเสร็จใน พ.ศ. 2495 และต่อมาในปี พ.ศ. 2499 ได้สร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ขึ้นเป็นหลังที่สองทางด้านทิศเหนือด้วยงบประมาณของกรมศิลปากรและเงินงบประมาณแผนดิน จึงได้ย้ายศิลปวัตถุทั้งหมดจากวิหารหลวงนำไปเก็บและตั้งแสดงในอาคารพิพิธภัณฑ์ที่สร้างใหม่ 

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา 

กิจการของพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติไชยา ได้เจริญก้าวหน้าตามลำดับ จนถึงวาระสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี กรมศิลปากรเห็นเป็นโอกาสเหมาะสมจึงได้ทำพีธีเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา โดยได้กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารพิพิธภัณฑแห่งชาติไชยา และทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ในขณะนั้น) เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2525

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา 
สิ่งที่น่าสนใจในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา   อาคารหลังแรกของพิพิธภัณฑ์จัดแสดงประติมากรรมศิลาและสัมฤทธิ์ที่ค้นพบในเมืองไชยาเก่าที่สำคัญและน่าสนใจได้แก่ เทวรูปพระนารายณ์  พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และมีการจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียนต่าง ๆ 

พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา 
ส่วนอาคารที่สอง เป็นที่จัดแสดงหลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยทวาราวดี ศรีวิชัย ลพบุรี สุโขทัย อยุธยา และยังจัดแสดงงานประณีตศิลป์ต่าง ๆ อีกมากมาย

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา 
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา  เปิดให้เข้าชมเฉพาะในวันพุธ-วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. โดยหยุดทำการในวันวันจันทร์-วันอังคารและวันนักขัตฤกษ์ มีค่าเข้าชมสำหรับชาวไทย 20 บาทและชาวต่างชาติ 100 บาท สามารถสอบถามสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 077-430-166
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา 
สนใจจัดทริปเที่ยวทุกรูปแบบ ทั้งจัดสัมมนาดูงาน นำเที่ยวทั้งกรุ๊ปใหญ่และแบบไพรเวทเที่ยวแบบกรุ๊ปเล็กส่วนตัว  ให้บริการนำเที่ยวแบบครบวงจร นำเที่ยวโดยคนพื้นที่ชำนาญเส้นทาง พาเที่ยวแบบวีไอพี กิจกรรมสนุก กินอาหารอร่อย เลือกที่นอนสบาย บริการแบบมืออาชีพด้วยมาตรฐานบริษัททัวร์ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 084-625-9929

เขียนโดย ศักดิ์เพ็ชร  เรืองแพ
www.rkatour.com