วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2564

พาไปชมบ้านขององคุลีมาล ประเทศอินเดีย

บ้านขององคุลีมาล
เรื่องเล่าวันนี้ก็มาถึงวันที่ 6 เวลาช่วงบ่าย ของการนำคณะเดินทางไปแสวงบุญตามรอยเส้นทางของพระพุทธเจ้า มีหัวใจสำคัญของการเดินทางคือไปสักการะ 4 สังเวชนียสถาน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนาด้วยเกี่ยวข้องโดยตรงกับพระพุทธเจ้า มหาศาสดาเอกของโลก รวมทั้งไปชมสถานที่สำคัญอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาล จากตอนที่แล้ว เราไปชมบ้านหรือคฤหาสถ์ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี อุบาสกผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นเลิศในการถวายทาน เมื่อออกมาจากบ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  รถนำเที่ยวของเราก็พามาชมบ้านบิดาของอหิงสกะหรือบ้านเกิดขององคุลีมาลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐีมากเท่าไร นั่งรถแป๊บเดียวก็ถึง

บ้านขององคุลีมาล

องคุลิมาลเดิมชื่อว่า อหิงสกะ  เป็นบุตรของปุโรหิตในราชสำนักของพระเจ้าปเสนทิโกศล แห่งเมืองสาวัตถี บิดามีนามว่า "คัคคะ" มารดามีนามว่า นางมันตานี ขณะที่มารดาให้กำเนิดอหิงสกะปรากฏว่าเกิดเหตุอัศจรรย์อาวุธของมีคมต่างๆ พากันส่องแสงและสั่นสะเทือนไปทั่ว ปุโรหิตผู้เป็นบิดาทราบว่าลูกที่เกิดมาจะเป็นภัยร้ายแก่แผ่นดิน จึงได้กราบทูลพระเจ้าปเสนทิโกศลให้กำจัดเสีย แต่คำทำนายของปุโรหิตว่าทารกที่เกิดมาจะเป็นภัยแก่ปวงชนไม่ได้เป็นภัยต่อราชบัลลังก์ พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงไม่ให้ฆ่า และให้เลี้ยงดูอย่างดี ปุโรหิตจึงตั้งชื่อว่า อหิงสกะ แปลว่าผู้ไม่เบียดเบียนใครเพื่อเป็นเคล็ด  และตอนวัยเยาว์อหิงสกะก็เป็นผู้มีนิสัยสุภาพอ่อนโยน มีเมตตากรุณา มีมนุษยสัมพันธ์ดีเคารพผู้ใหญ่ไม่มีทีท่าว่าจะเป็นโจรตามคำทำนายของบิดา

บ้านของอหิงสกะ หรือองคุลีมาล

ต่อมาเมื่ออหิงสกะเติบโตถึงวัยเล่าเรียน อหิงสกะก็ได้ไปเรียนวิชาต่อสู้ที่สำนักทิศาปาโมกข์แห่งเมืองตักกสิลา  ด้วยความที่เป็นเด็กฉลาดมีไหวพริบดีและตั้งใจฝึกฝนกว่าเด็กคนอื่น ทำให้อหิงสกะสามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วก้าวหน้ากว่าคนอื่นอีกทั้งยังปรนนิบัติรับใช้อาจารย์อย่างดี จึงทำให้อหิงสกะกลายเป็นศิษย์รักคนโปรดที่อาจารย์มักจะชื่นชมและยกให้เป็นแบบอย่างแก่ศิษย์คนอื่นเสมอ จนทำให้ลูกศิษย์อื่นคิดอิจฉาริษยาไปกล่าวร้ายและยุยงกับอาจารย์ว่าองคุลิมาลคิดจะทำร้ายหลายครั้งจนอาจารย์หลงเชื่อและคิดจะกำจัดองคุลิมาลเสีย โดยการวางแผนยืมมือคนอื่นให้ฆ่าอหิงสกะเพื่อไม่ให้ใครตำหนิได้ว่าเป็นอาจารย์ฆ่าลูกศิษย์อันจะเป็นเหตุให้ตนเสื่อมลาภในภายหลัง จึงออกอุบายให้อหิงสกะไปฆ่าคนให้ได้ 1,000 คน เพื่อจะได้บรรลุพิธีวิษณุมนตร์ซึ่งเป็นวิชาขั้นสูง 

บ้านเกิดขององคุลีมาล

อหิงสกะเมื่อได้รับคำจากอาจารย์ จึงจำยอมต้องออกไปฆ่าคน ในการฆ่าคนอสิหสกะก็ได้ตัดนิ้วหัวแม่มือมาคล้องที่คอเพื่อให้จำได้ว่าฆ่าไปกี่คนแล้ว ด้วยเหตุนี้อหิงสกะจึงได้รับสมญานามว่า องคุลิมาล เมื่อฆ่าได้ 999 คน ตั้งใจจะไปฆ่าแม่ของตนเพื่อให้ครบ 1,000 คน พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยฌาณและรู้ว่าอหิงสกะมีบารมีสะสมมาแต่อดีตมากพอที่จะบรรลุพระอรหันต์ได้ แต่มาฆ่าคนเพราะถูกหลอกและถ้าหากไปฆ่าแม่สำเร็จก็จะเป็นกรรมหนักไม่สามารถบรรลุมรรคผลใดๆ ได้อีก  จึงได้มาดักปรากฏกายเบื้องหน้าองคุลีมาล เมื่อเจอกันองคุลีมาลก็ตั้งใจไล่ฆ่าพระพุทธเจ้า  แต่วิ่งไล่เท่าไรก็ไล่ไม่ทัน จึงตะโกนให้พระพุทธเจ้าหยุดก่อน พระพุทธเจ้าก็ได้กล่าวไปว่า "เราตถาคตหยุดแล้ว แต่ท่านซิยังไม่หยุด"  องคุลีมาลจึงได้แย้งว่า "ท่านยังเดินไปอยู่ ทำไมพูดว่าหยุดแล้ว สมณโกหกด้วยหรือ" พระพุทธองค์ตรัสว่า “เราหยุดทำบาปแล้ว ตัวเธอสิยังไม่หยุด” ฟังเท่านั้นมหาโจรองคุลิมาลก็ได้ฉุกคิดและทิ้งดาบ เข้าไปกราบพระพระพุทธเจ้า  พระพุทธองค์ก็ได้ทรงแสดงธรรมให้ฟัง จบพระธรรมเทศนาองคุลีมาลก็ได้ทูลขอบวช พระพุทธองค์ประทานอุปสมบทให้แล้วทรงนำกลับไปยังพระเชตวัน

บ้างขององคุลีมาล

วันนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงนำกองทัพทหารจำนวนหนึ่ง ตั้งใจจะไปปราบองคุลิมาล ก็ได้แวะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อขอพรเอาฤกษ์เอาชัย พระพุทธองค์ตรัสถามว่าจะยกทัพไปไหน พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่าจะไปปราบโจรองคุลิมาล พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า ถ้าโจรองคุลิมาลละการทำบาปมาบวชเป็นศิษย์ตถาคตแล้วพระองค์ยังจะไปปราบอยู่ไหม พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสว่าถ้าอย่างนั้นก็จะได้รับอภัยโทษ แทนที่จะปราบพระองค์กลับจะต้องนมัสการถวายความอุปถัมภ์ด้วยปัจจัยสี่ พระพุทธองค์ทรงชี้พระดรรชนีไปยังภิกษุหนุ่มตรัสว่านั่นคืออดีตโจรองคุลิมาล แม้ทรงรู้ว่าบัดนี้พระภิกษุหนุ่มผู้เคยเป็นองคุลีมาลจะไม่เบียดเบียนใครอีกแล้ว พระราชาก็ยังอดสะดุ้งพระทัยไม่ได้ ทรงข่มความกลัวเข้าไปนมัสการภิกษุหนุ่มแล้วทรงปวารณาถวายจตุปัจจัย 

แรกๆ เมื่อพระองคุลิมาลบวชใหม่ๆ เมื่อออกบิณฑบาตนอกจากไม่ได้ข้าวแล้วยังได้เลือดกลับวัดด้วย เพราะผู้คนที่จำท่านได้และมีความโกรธแค้นต่างก็เอาก้อนอิฐก้อนดินขว้างปาจนศีรษะแตกได้รับทุกขเวทนามาก คัมภีร์พระไตรปิฎกเล่าว่า ท่านถูกทำร้ายจนบาตรแตก จีวรฉีกขาดกะรุ่งกะริ่ง พระพุทธองค์ตรัสให้ท่านอดทนเพราะนั่นคือเศษกรรมของท่าน 

วันหนึ่งพระองคุลีมาลพบหญิงมีครรภ์แก่ใกล้คลอดเดินเหินลำบาก จึงมากราบทูลพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ตรัสบอกให้ท่านแผ่เมตตาจิตให้นาง รุ่งขึ้นท่านไปบิณฑบาตพบสตรีคนนั้น ท่านเข้าไปยืนสงบใกล้ๆ แล้วเปล่งวาจาว่า "ยะโตหัง ภะคะนิ อะริยายะ ชาติยา ชาโต นาภิชานา มิ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตา เตนะ สัจเจนะ โสตถิ เต โหตุ โสตถิ คัพภัสสะ" แปลได้ว่า ดูก่อนน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดมาโดยชาติเป็นอริยะ (ตั้งแต่บวช) เราไม่เคยคิดทำลายชีวิตสัตว์เลย ด้วยสัจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านและบุตรในครรภ์ของท่าน (ซึ่งต่อมาบทสวดนี้เรียกว่าอังคุลิมาลปริตร)  สิ้นคำอธิษฐานนั้น สตรีคนนั้นก็คลอดลูกอย่างง่ายดาย คนจึงลือกันว่าท่านองคุลิมาลมีมนต์ทำให้คนคลอดลูกง่าย เพราะฉะนั้นอาจารย์ในยุคหลังจึงได้นำบทสวดองคุลีมาลปริตรมารวบรวมไว้ในบทสวดเจ็ดตำนานเพื่อสวดเป็นสวัสดีมงคล หรือไม่ก็แยกสวดเฉพาะบททำน้ำมนต์ให้สตรีตั้งครรภ์ดื่มให้คลอดบุตรง่าย 

ภายในบ้านเกิดของ องคุลีมาล

เมื่อพระองคุลิมาลออกบวช ก็ตั้งใจแน่วแน่ในการศักษาพระธรรมจนในที่สุดก็ได้บรรลุพระอรหันต์ท่านได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นสาวกประเภทต้นคดปลายตรง ทำผิดในกาลก่อนแต่ภายหลังกลับเนื้อกลับตัวโดยสิ้นเชิง ดังพุทธวจนะตรัสสรรเสริญว่า “ผู้ใดทำบาปในกาลก่อน ภายหลังละได้ด้วยการทำกุศล ผู้นั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่างดุจพระจันทร์พ้นจากเมฆหมอกฉะนั้น” และการบวชเป็นพระขององคุลีมาลครั้งนั้นก็เป็นต้นเหตุที่มีบัญญัติห้ามรับบวชให้โจรผู้ร้ายในเวลาต่อมา

 หมายเหตุ บ้านเกิดขององคุลีมาลหรือคนทั่วๆ ไปมักจะเรียกว่าบ้านบิดาขององคุลีมาลเป็นสถานที่เดียวที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า  ซึ่งปัจจุบันเป็นเพียงซากโบราณสถานที่มีรั้วล้อมรอบมิดชิด เปิดให้ผู้สนใจเดินชมกันแต่ด้านนอก ส่วนสถานที่สำคัญอื่นๆ ไม่ปรากฏว่ามีรั้วล้อมรอบมิดชิดอย่างนี้ ด้วยความสงสัยจึงได้สอบถามจากไกด์ผู้นำเที่ยวจึงได้ทราบว่า เป็นเหตุที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวในอดีตขององคุลีมาล ทำให้หลายคนเชื่อว่าที่แห่งนี้สามารถล้างบาปได้ จึงมักมีคนมาเก็บก้อนอิฐก้อนดิน มาลอดอุโมงค์ของซากอาคาร และมาทำตามความเชื่อต่างๆ อีกหลากหลาย จนโบราณสถานแห่งนี้ชำรุดทรุดโทรม จึงต้องมีการล้อมรั้วให้เดินชมกันแค่บริเวณภายนอก ในปัจจุบันก็ยังมีคนจำนวนมากให้ความสนใจและเดินทางกราบไหว้ต่อซากโบราณสถานบ้านเกิดขององคุลีมาล

วัดพระเชตวันมหาวิหาร
ตอนนี้ได้รู้ได้เห็นกับตารวมทั้งได้ฟังเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับองคุลีมาลเป็นจำนวนมาก จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีอยู่จริง มีสถานที่ที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์จริงในอดีต ทำให้เชื่อได้อย่างสนิทใจว่าเรื่องราวเกี่ยวกับองคุลีมาลเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริงในอดีต ไม่ใช่เรื่องเล่าที่สมมุติเหตุการณ์ขึ้นมา เมื่อได้เวลาพอสมควร คณะของเราก็เดินทางไปวัดพระเชตวันมหาวิหาร สถานที่สำคัญอีกหนึ่งแห่งที่มีเรื่องราวประวัติไม่ธรรมดา รอไปเที่ยวด้วยกันผ่านตัวอักษรที่จะย้อนกลับมาเล่าให้อ่านในตอนหน้านะครับ

ติดตามอ่านบทความทั้งหมดใน ประสบการณ์เดินทางไปแสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน 8 วัน ในประเทศอินเดียและเนปาล ได้ที่  www.rkatour.com

สามารถสมัครเป็นเพื่อนทางไลน์ หรือช่องทาง  https://lin.ee/dcUb0ed จะได้ไม่พลาดข่าวสารใหม่ๆและโปรโมชั่นทัวร์โดนๆ ที่อัพเดททุกวัน

สนใจเดินทางไปทัวร์แสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน สักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของพระพุทธศาสนา สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน รวมถึงสถานที่สำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งพุทธกาล  สอบถามรายละเอียดการเดินทางได้ที่ โทร. 084-625-9929  
เขียนโดย ศักดิ์เพ็ชร  เรืองแพ

ไม่มีความคิดเห็น: