คฤหาสน์ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี |
วัดสิธธาราชมณเฑียร ประเทศอินเดีย |
วัดสิธธาราชมณเฑียร รัฐพียู อินเดีย |
หลังจากพวกเราสบายท้องอิ่มอกกันแล้วก็ไปอิ่มใจสนทนากับพระอาจารย์ที่มาจำพรรษาอยู่ที่นี่ ทักทายปราศัยทำความรู้จักกันพอสมควรก็ได้ขออนุญาตลาท่านเพื่อเดินทางต่อไป ส่วนสาธุชนท่านใดที่มีแผนจะเดินทางไปอินเดีย โดยเฉพาะไปที่รัฐอุตตรประเทศต้องการความสะดวกเรื่องอาหารและที่พักหรือท่านใดมีความประสงค์สมทบทุนทำบุญพัฒนาวัดก็ติดต่อไปที่วัดสิธธาราชมณเฑียร ได้โดยตรงตามที่อยู่ด้านล่าง
ติดต่อวัดสิธธาราชมณเฑียร รัฐพียู อินเดีย |
บ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี |
ห้องที่เชื่อว่าเคยเป็นที่เก็บสมบัติของอนาถบิณฑิกเศรษฐี |
จากบันทึกเกี่ยวกับพระพุทธประวัติกล่าวถึงอนาถบิณฑิกเศรษฐีไว้ว่า ท่านได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าที่เมืองราชคฤห์แล้วได้บรรลุธรรมโสดาบัน มีความศรัทธาและเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าอย่างมาก ต่อมาท่านจึงตั้งใจสร้างวัดเชตวันมหาวิหารถวายแก่พระพุทธเจ้าด้วยเงินจำนวนมหาศาล นัยว่าท่านต้องใช้ทรัพย์ของท่านปูจนเต็มพื้นที่ดินที่จะซื้อ จากเจ้าเชตฯ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินและดำรงพระยศเป็นเจ้าชายในขณะนั้น ซึ่งจะเล่าเต็มๆ อีกทีเมื่อเราไปถึงวัดพระเชตวันมหาวิหาร
บ้านหรือคฤหาสถ์ที่เคยเป็นที่อยู่ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี |
สุทัตตะเศรษฐีเป็นผู้อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์อย่างดีมาก เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับจำพรรษานานมากที่สุดที่วัดพระเชตวันมหาวิหารถึง 19 พรรษา ท่านเศรษฐีผู้นี้ได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็น อุบาสกผู้เลิศในการเป็นผู้ถวายทาน
บ้านหรือคฤหาสถ์ที่เคยเป็นที่อยู่ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี |
เรื่องราวของอนาถบิณฑิกเศรษฐี มีปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามากมาย ล้วนเป็นเรื่องราวที่แสดงถึงความศรัทธาและความเอาใจใส่ในการบำรุงพระพุทธศาสนา เป็นผู้ยินดียิ่งในการให้ทาน เมื่อจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ไม่เคยไปมือเปล่า จะมีอาหารตามกาลไปถวายอยู่เสมอ ขณะที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่เชตวันมหาวิหาร ท่านเศรษฐีจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ทุกวัน วันละ 2-3 ครั้ง มีบันทึกกล่าวไว้ว่าถ้าท่านเศรษฐีไปเฝ้าช่วงเวลาฉันอาหารจะเตรียมข้าวยาคู และของขบฉันอื่น ๆ ไปถวาย ถ้าไปเลยเวลาที่ฉันอาหารแล้วก็จะนำเภสัชมีเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อยเป็นต้นไปถวาย ถ้าไปในเวลาเย็นก็จะเตรียมเครื่องสักการะ มีดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้และผ้าไปถวาย
ห้องเก็บสมบัติของอนาถบิณฑิกเศรษฐี |
แต่ทั้ง ๆ ที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่เป็นประจำ ท่านไม่เคยทูลถามปัญหาธรรมกับพระพุทธองค์เลย เพราะเกรงว่าพระองค์จะทรงลำบาก ครั้งหนึ่งพระพระพุทธเจ้าได้ตรัสกับอนาถบิณฑิกเศรษฐีว่า ท่านอนาถบิณฑิกรักษาพระองค์ในฐานะที่ไม่ควรรักษา เพราะพระองค์บำเพ็ญบารมีมาด้วยความยากลำบาก เป็นเวลานานถึง ๔ อสงไชยนับแสนกัป ก็เพื่อจะสอนคนอื่นแล้วก็ทรงอาศัยเรื่องของท่านเศรษฐีนั่นเองที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีตเล่าให้ท่านเศรษฐีฟัง ดังปรากฏในชาดกต่าง ๆ เช่น ขทิรังคชาดก ปุณณปาติชาดก กาลกัณณิชาดก เป็นต้น โดยธรรมส่วนมากที่พระพุทธองค์ตรัสแก่ท่านเศรษฐีเป็นธรรมสำหรับคฤหัสถ์ เช่น
- จิตที่คุ้มครองรักษาไว้ดีแล้ว ก็เหมือนกับเรือนอันมีเครื่องมุง เครื่องบังดี ฉะนั้น การให้ทานอาหาร ย่อมได้รับผล คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ.
- หน้าที่ ๔ อย่างของพ่อบ้านผู้มีศรัทธา คือ บำรุงพระภิกษุสงฆ์ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานเภสัช.
- ความปรารถนาของบุคคลในโลกจะสมหมายได้ยาก ๔ อย่างคือ ขอสมบัติจงเกิดมีแก่เรา , ขออายุให้ยืนนาน , ขอให้มีรูปงาม , ขอให้มีความสุข , ขอให้มีเกียรติยศชื่อเสียง , เมื่อสิ้นชีพแล้วขอเราจงไปบังเกิดในโลกสวรรค์.
- ความสุขของคฤหัสถ์ ๔ อย่าง คือ สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์ , สุขเกิดแต่การจ่ายทรัพย์บริโภค , สุขเกิดแต่ความไม่ต้องเป็นหนี้ , สุขเกิดแก่การประกอบการงานที่ไม่มีโทษ.
- วิธีใช้โภคทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ ๕ อย่าง คือ เลี้ยงตัว บิดา มารดา บุตร ภรรยา บ่าวไพร่ ให้เป็นสุข , เลี้ยงเพื่อนฝูงให้เป็นสุข , บำบัดอันตรายอันจะเกิดแต่เหตุต่าง ๆ , ทำพลี ๕ อย่าง คือสงเคราะห์ญาติ ต้อนรับแขก ทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย ถวายเป็นหลวงเช่นเสียค่าภาษี เป็นต้น และ ทำบุญอุทิศให้เทวดา, บริจาคทานในสมณพาหมณ์ผู้ประพฤติชอบ.
- กรรมกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้บุคคลเศร้าหมอง ๕ อย่าง(ศีล5) คือ ทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง , ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ด้วยอาการขโมย , ประพฤติผิดในกาม , พูดเท็จ , ดื่มสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท.
- เป็นต้น
เนื่องจากท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี มีศรัทธาในพระศาสนามาก ได้สละทรัพย์เพื่อทำบุญเป็นเงินจำนวนมากเหลือคณนา ดังนั้นท่านเศรษฐีจึงได้รับเกียรติพิเศษจากพระเจ้าปเสนทิโกศล ให้เป็นคนปลูกต้นโพธิ์ไว้หน้าพระเชตวันมหาวิหาร เพื่อให้เป็นปูชนียสถานแก่ประชาชนชาวนครสาวัตถีแทนพระพุทธองค์ในคราวที่เสด็จจาริกไปที่อื่น (ปัจจุบันต้นโพธิ์นี้ก็ยังคงอยู่) พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ปลูกได้ ต้นโพธิ์นี้ปรากฏชื่อว่า อานันทโพธิ เพราะท่านพระอานนท์เป็นผู้ทูลขอพระพุทธเจ้าให้ปลูก
ต้นโพธิ์ที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นผู้ปลูกในสมัยพุทธกาลที่วัดพระเชตวันมหาวิหาร |
ในชีวิตของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ตกอับลงเพราะต้องเสียทรัพย์ไปครั้งใหญ่ถึง ๒ ครั้ง คือ พวกพ่อค้าผู้เป็นสหายได้ขอยืมเงินไป ๑๘ โกฏิ แล้วไม่คืน และมีทรัพย์อีกส่วนหนึ่งที่ฝังไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำจำนวน ๑๘ โกฏิ ได้ถูกน้ำเซาะตลิ่งพังสมบัติทั้งหมดก็ถูกน้ำพัดไปในมหาสมุทร แม้ท่านจะตกอับลงอย่างนี้ก็ตาม ท่านก็ยังคงให้ทานอยู่เสมอ และทุกครั้งที่ท่านตกอับยากไร้ลงที่สุดแล้วท่านก็กลับมามีฐานะมั่นคงดังเก่าด้วยบุญที่ท่านสะสมมา
ในคราวที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีตกอับลงนั้น พระพุทธองค์ก็ได้เสด็จไปยังนครสาวัตถีอีกครั้งหนึ่ง เสด็จประทับ ณ พระเชตวันมหาวิหาร เมื่อท่านเศรษฐีไปเข้าเฝ้าก็ตรัสถามว่า “ในตระกูลของท่าน ยังมีการให้ทานอยู่หรือคฤหบดี?” ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีทูลตอบว่า “ยังให้ทานอยู่ พระเจ้าข้า แต่ทานนั้นเป็นของเศร้าหมอง เป็นปลายข้าวกับน้ำผักดอง ” พระพุทธองค์ตรัสว่า “วัตถุที่ให้นั้นจะเศร้าหมองหรือประณีตก็ตาม แต่ถ้าผู้ให้ไม่เชื่อในกรรมและผลของกรรมทานนั้นย่อมให้ผลไม่ดี แต่ถ้าผู้ให้ทานด้วยความเคารพ ให้ด้วยความนอบน้อม ให้ด้วยมือของตนเองไม่ทิ้งให้เทให้ ให้เพราะเชื่อกรรมและผลของกรรม ทานนั้นย่อมให้ผลดี”
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้บำเพ็ญทานรักษาศีลตลอดมา มิได้บกพร่องจนกระทั่งถึงบั้นปลายแห่งชีวิต ขณะที่พระพุทธองค์เสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ท่านได้ล้มป่วยหนักลง จนท่านรู้ตัวว่าจะต้องตายแน่แล้ว จึงได้ส่งคนไปกราบทูลพระพุทธองค์ว่าท่านป่วยหนักจนถึงต้องนอนลุกไม่ได้อีก บัดนี้ขอน้อมเกล้าถวายบังคมมาถึงพระองค์ และพร้อมกันนั้นก็ให้นิมนต์ท่านพระสารีบุตรเถระ มาที่บ้านด้วย ท่านพระสารีบุตรเถระพร้อมด้วยท่านพระอานนท์ได้ไปเยี่ยมท่านเศรษฐีที่บ้าน ไต่ถามถึงความป่วยไข้แล้ว ได้แสดงธรรมเทศนา สอนท่านให้ถอน ตัณหา ทิฐิ มานะ ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นว่านี้ของเรา นี้เป็นเรา นี้เป็นตัวของเรา เป็นต้น ท่านเศรษฐีร้องไห้น้ำตาไหล ถึงกับพูดว่า ยังไม่เคยฟังธรรมกถาที่ไพเราะจับใจถึงเพียงนี้เลย ธรรมเทศนานี้มีชื่อว่า อนาถบิณฑิโกวาทสูตร ครั้นท่านพระเถระทั้งสองจากไปแล้วไม่นานนัก ท่านเศรษฐีก็ถึงกาลกิริยาตายบนเตียงนอนของท่านเอง แล้วไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
บ้านหรือคฤหาสถ์ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี |
การที่พวกเราได้มีโอกาสดีไปเห็นบ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี รวมทั้งได้ฟังเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกันมา ได้เห็นสัจธรรมหลายๆ อย่าง ทำให้เกิดสติและปัญญาเพิ่มพูนขึ้น คิดได้ว่าการให้ทานนั้นเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ควรอนุโมธนาสาธุ น้อมนำให้พวกเราเข้าถึงจิตกุศลที่ดีที่งามยิ่งขึ้น แต่การได้บรรลุนิพพานหลุดพ้นจากวัฏสงสารหรือเข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้าต้องเกิดจากการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทำจิตให้พ้นความเศร้าหมองทั้งหลายจึงจะเข้าถึงธรรมขั้นสูงได้ ซึ่งแม้นว่าเราจะเป็นเพียงฆราวาสผู้ครองเรือนถ้าคิดดีทำดีชีวิตก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ ถึงจะตกอับยากไร้ในที่สุดก็ต้องดีขึ้น ถ้าได้ฝึกจิตคิดดีและเรียนรู้ธรรมะแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาอยู่เสมอ การเข้าถึงธรรมในลำดับที่สูงขึ้นก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าสอนให้เราให้เป็นทั้งนักคิดและนักปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติจริงก็ได้ผลจริง แล้วติดตามตอนต่อไปนะครับจะพาไปเยี่ยมบ้านเกิดขององคุลีมาลกัน
บ้านขององคุลีมาล |
ติดตามอ่านบทความทั้งหมดใน ประสบการณ์เดินทางไปแสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน 8 วัน ในประเทศอินเดียและเนปาล ได้ที่ www.rkatour.com
สนใจเดินทางไปทัวร์แสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน สักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของพระพุทธศาสนา สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน รวมถึงสถานที่สำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งพุทธกาล สอบถามรายละเอียดการเดินทางได้ที่ โทร. 084-625-9929
สามารถสมัครเป็นเพื่อนทางไลน์ หรือช่องทาง https://lin.ee/dcUb0ed จะได้ไม่พลาดข่าวสารใหม่ๆและโปรโมชั่นทัวร์โดนๆ ที่อัพเดททุกวันเขียนโดย ศักดิ์เพ็ชร เรืองแพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น