ง่ายๆ สมัยก่อนคนรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายายสืบขึ้นไปรุ่นทวด ล้วนมีพื้นฐานอาชีพมาจากการเกษตรกรรม อาชีพนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องใช้แรงมาก ด้วยในสมัยก่อนนานมาแล้วเครื่องไม้เครื่องมือไม่ได้ทันสมัยเช่นทุกวันนี้ การทำงานก็ต้องใช้แรงงานตนเองเป็นหลัก แต่ละวันต้องใช้พลังงานมหาศาล แล้วพลังงานเหล่านั้นก็มาจากอาหารที่กินเข้าไปนั่นแหละครับ เพียงแต่ร่างกายสอนให้รู้จักใช้พลังงานอย่างประหยัด กินอาหารหน่อยเดียวแต่ร่างกายสามารถทำงานใช้แรงได้มาก เทียบกันง่ายๆ ลองถามคนรุ่นปู่รุ่นตาดูว่าสมัยก่อนการเดินเท้าระยะทาง 4-5 กม. นั้นสบายมาก แถมเดินกันแทบทุกวัน ขุดดินในสวนในนาได้เป็นวันๆ ถ้าเป็นรุ่นเราก็สบายมากเช่นกันแต่ขับรถไป ไม่เคยเดินเลย ขุดดินก็จ้างรถไถไม่นานก็เสร็จ
แต่รู้หรือไม่ หน่วยความจำของร่างกายที่จำเรื่อง การประหยัดการใช้พลังงานของร่างกาย มันยังจำได้อยู่ แถมถ่ายทอดมาให้ลูกให้หลาน ดังนั้นรุ่นเราที่กินอาหารดีขึ้นแต่พลังงานที่ใช้น้อยลง(มากๆด้วย) แล้วพลังงานเหล่านี้ร่างกายไม่ได้ขับทิ้งหรอกนะ มันก็พาไปเก็บสะสมไว้รอวันนำไปใช้ แต่โอกาสใช้ของเราแทบไม่มี มันก็เหมือนเป่าลมเก็บไว้ในลูกโป่งนั่นแหละครับ เป่าพอดีลูกโป่งก็สวยงาม เป่ามากเกินไปลูกโป่งก็แตก ร่างกายของเราเก็บพลังงานไว้มากเกินไป ร่างกายก็รวนทำงานผิดพลาด
ย้อนกลับไปดูคนรุ่นก่อนแทบไม่มีใครรู้จักโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ก็คงไม่เถียงว่าการแพทย์ไม่เจริญคนเลยไม่รู้จัก แต่คิดหรือไม่ว่าคนรุ่นก่อนออกเหงื่อทั้งวัน วันละมากๆด้วย เรามาลองทำให้เหงื่อออก หรือนำพลังงานที่ร่างกายสะสมไว้มาใช้ให้มากขึ้นในแต่ละวัน เชื่อว่าร่างกายจะทนทานและต่อต้านต่อโรคเบาหวานและความดันมากขึ้น ง่ายๆ ผู้เขียนวัยใกล้ 40 แล้ว มีเพื่อนหลายคนเป็นเบาหวานถึงขึ้นหมดไฟกันหลายคน แต่ผมเองชอบออกกำลังกาย ปั่นจักรยานเฉลี่ย 20-50 กม./วัน (วันฝนตกก็เดินเร็วบนเครื่องออกกำลังกายแบบลู่วิ่ง ประมาณ 3-5 กม.) แถมบางวันยังแบกบีบีกันลงสนามไล่ยิงกันกับบรรดาวัยรุ่นจนลิ้นห้อย (เหมาเอาว่าการสู้รบกับศัตรูไม่มีคำว่าปราณี ไม่มีอายุ ไม่ฆ่าเขาก็ต้องถูกฆ่า เลยต้องวิ่งกันไปยิงกันไป ก็สนุกดี เจ็บๆมันๆ ถ้าไม่ขยันวิ่งก็ต้องตกเป็นเป้า ไม่สนุกหรอกครับกับการถูกยิง แต่สนุกนักกับการได้ยิงคนอื่น) เพื่อเอาพลังงานออกมาใช้ แต่รู้สึกยิ่งเอาพลังงานออก โดยการออกกำลังกาย ร่างกายกลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่า แข็งแรงขึ้น ตรวจเลือดทุกปี ตรวจความดันบ่อยๆ ก็อยู่ในระดับปกติตลอด (กระซิบนิดนึง ญาติ ๆผมก็เป็นทั้งความดันและเบาหวานกันงอมแงม แถมบางคนเสริมด้วยโรคหัวใจ ไปโรงพยาบาลพกยากลับบ้านแต่ละครั้งเหมือนพกขนมถุงใหญ่ๆเลย กินยาเป็นกำๆ แทบจะอิ่มโดยไม่ต้องกินอาหาร) ผมรู้ว่าสมัยก่อนบรรพบุรุษผมก็มีอาชีพทำนา แต่ญาติผมทุกคนที่เป็น(โรค) ล้วนทำงานนั่งโต๊ะทั้งนั้นเลยจึงคิดและเชื่อมั่นว่าความคิดนี้น่าจะเป็นจริง
ดังนั้นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และหัวใจ ผมเชื่อว่าเราสามารถป้องกันได้ง่ายๆ หรือรักษาให้ดีขึ้นโดยการออกกำลังกายให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานออกมา แต่สำหรับคนที่ไม่เคยออกกำลังกายเลยห้ามเด็ดขาดที่จะเริ่มต้นแบบหักโหม ต้องค่อยๆ พัฒนาให้ร่างกายคุ้นเคย เพิ่มสมรรถนะขึ้นทีละขั้นทีละตอนอย่างเหมาะสม เราก็จะได้มีสุขภาพที่ดีตอนอายุมากขึ้น จะถูกหรือผิด คุณก็ลองพิจารณาดูนะครับ
ลองดูซิครับ ทหารหน่วยรบพิเศษ (หน่วยรบจริงที่ฝึกกันหนักๆ ตลอดเวลา) , กรรมกรที่ต้องทำงานหนัก หรือชาวประมงที่ออกทะเล มีใครเป็นโรคเหล่านี้บ้าง ก็แต่ละวันเหงื่อออกยิ่งกว่าอาบน้ำ เทียบกับบรรดาชาวออฟฟิศที่ไม่เคยออกแดด ใครเป็นโรคจากพลังงานที่เหลือเก็บ จากการกิน มากกว่ากัน
ทีนี้สุขภาพดี มีเงินเหลือเก็บว่างๆ ก็พาครอบครัวไปเที่ยวบ้าง เพื่อความสุขให้จิตใจและสร้างสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว
ดูข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ที่พักราคาประหยัด ร้านอาหารอร่อยราคาไม่แพง และอีกมากมายได้ที่ www.9nha.com ก้าวหน้าดอทคอม แค่คลิ๊กก็พบสิ่งที่ต้องการ
ดูข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ที่พักราคาประหยัด ร้านอาหารอร่อยราคาไม่แพง และอีกมากมายได้ที่ www.9nha.com ก้าวหน้าดอทคอม แค่คลิ๊กก็พบสิ่งที่ต้องการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น